การเขียนวิจัยปริญญาตรีของไทยกับจีน แตกต่างกันไหม?
การเขียนวิจัยปริญญาตรีของไทยกับจีน แตกต่างกันไหม?
ในฐานะนักศึกษาที่เคยเรียนในประเทศไทย และมีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีปลายภาคในประเทศจีน ผู้เขียนขอแบ่งปันประสบการณ์ตรง และเปรียบเทียบผ่าน 6 หัวข้อหลัก ดังนี้
จุดมุ่งหมายของวิจัย
🇹🇭 ฝั่งไทย ในระดับปริญญาตรี การทำวิจัยถือเป็น “กระบวนการฝึกคิดเชิงวิชาการ” เป็นหลัก ไม่ได้ตั้งเป้าให้ต้องผลิตองค์ความรู้ใหม่ แต่เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจโครงสร้างของการวิจัย และสามารถออกแบบกระบวนการวิจัยอย่างถูกต้อง เช่น การตั้งวัตถุประสงค์ การตั้งสมมุติฐาน และการใช้เครื่องมือเก็บข้อมูล
หัวข้อวิจัยในไทยจึงมักไม่ซับซ้อน เช่น
- ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ
- การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
- การศึกษาประสิทธิภาพการเรียนรู้ ฯลฯ
ในบางสาขา เช่น วิศวกรรม AI เทคโนโลยีชีวภาพ หรือธุรกิจดิจิทัล หัวข้อวิจัยมักมีความล้ำหน้า เช่น
- การประยุกต์ใช้ Machine Learning กับระบบอัตโนมัติ
- การวิเคราะห์โมเดล Big Data
- การพัฒนาแอปพลิเคชันขนาดเล็ก ฯลฯ
ที่ไทยมองว่าวิจัยเป็น “เครื่องมือฝึกทักษะ” แต่จีนมองว่าวิทยานิพนธ์เป็น “ผลงานที่ต้องใช้ได้จริง”
โครงสร้างของรายงาน
🇹🇭 ไทย มหาวิทยาลัยในไทยมักใช้ระบบการอ้างอิงแบบ APA (เวอร์ชันล่าสุด เช่น APA 6 หรือ 7) ซึ่งเน้นการอ้างอิงแบบชื่อผู้แต่ง + ปี เช่น (สุชาติ, 2564) หรือ (Smith, 2020) พร้อมบรรณานุกรมตอนท้าย
โครงสร้างงานวิจัยก็เรียบง่าย มีรูปแบบที่อาจารย์กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รูปเล่ม ฟอนต์ การตั้งระยะขอบ ฯลฯ นักศึกษาส่วนมากเพียงทำตามรูปแบบนี้
🇨🇳 จีน จีนใช้ระบบ GB/T 7714-2015 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับชาติในการอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารภาษาจีนหรืออังกฤษ และมีความละเอียดสูง เช่น ต้องระบุลักษณะของเอกสาร (วิทยานิพนธ์ [D], รายงาน [R], บทความวารสาร [J], หนังสือ [M]) และใส่วงเล็บเหลี่ยมกำกับ เช่น
- [1] 王强. 中国数字经济发展趋势研究[J]. 经济研究, 2021, 34(2): 1-10.
รูปแบบจัดอ้างอิงเข้มงวดมาก หากผิดเพียงนิดเดียวในระบบจะถือว่าผิดพลาดครับ
ไทยให้ความยืดหยุ่นในการอ้างอิงมากกว่า แต่จีนมีระบบที่เข้มขึ้น ซึ่งช่วยให้ผลักดันสู่งานวิชาการที่มีมาตรฐานได้ดี
การเขียนบทที่ 1-5
โครงสร้างคล้ายกัน รายละเอียดต่างกัน
แม้ว่าไทยและจีนจะมีโครงสร้างรายงานวิจัยคล้ายกัน (บทนำ > ทบทวนวรรณกรรม > วิธีวิจัย > ผลการวิจัย > สรุป/อภิปรายผล) แต่ “ความลึก” ต่างกันชัดเจน
🇹🇭 ไทย
- บทที่ 1: บทนำ อธิบายที่มา ความสำคัญของปัญหา
- บทที่ 2: ทบทวนวรรณกรรม อาจสรุปทฤษฎีจากตำราเรียนทั่วไป
- บทที่ 3: วิธีวิจัย ระบุว่าใช้แบบสอบถาม สัมภาษณ์ ฯลฯ
- บทที่ 4: วิเคราะห์ผล บรรยายผลแบบสถิติพื้นฐาน
- บทที่ 5: สรุปผลและข้อเสนอแนะ
จุดเด่นคือ เน้นความเข้าใจของผู้เรียน ใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อนมาก และไม่บังคับให้ต้องใช้โมเดลทางทฤษฎีลึกๆ
🇨🇳 จีน
- บทที่ 1: บทนำ พร้อมสรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในจีนและต่างประเทศ (研究现状)
- บทที่ 2: วรรณกรรมและทฤษฎี ใช้โมเดลเฉพาะ เช่น 模型、算法、理论架构
- บทที่ 3: วิธีวิจัย (研究方法) ต้องระบุขั้นตอนทดลองหรือสมมติฐานอย่างเป็นระบบ
- บทที่ 4: ผลและการวิเคราะห์ (实验结果分析 / 数据回归) มีกราฟ ตาราง วิเคราะห์เชิงเทคนิค
- บทที่ 5: สรุป ข้อเสนอแนะ และขอบเขตการต่อยอดงานวิจัย
ไทยเน้นความเข้าใจและกระชับ ส่วนจีนเน้นความลึกและการวิเคราะห์อย่างมืออาชีพ
การใช้แหล่งข้อมูล
🇹🇭 ไทย นักศึกษาสามารถอ้างอิงจากหนังสือวิชาการ เว็บไซต์ราชการ บทความวารสารไทย หรือแหล่งข้อมูลสากลได้ โดยมักใช้แหล่งอ้างอิงประมาณ 10–20 รายการ
🇨🇳 จีน ต้องใช้แหล่งข้อมูลวิชาการจาก ฐานข้อมูลระดับประเทศ เช่น
- CNKI (中国知网)
- Wanfang Data
- CQVIP
แหล่งข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตทั่วไปจะไม่ถูกนับว่า “มีความน่าเชื่อถือ” และผลงานบางฉบับต้องอ้างอิงมากกว่า 40–50 รายการจึงจะผ่านเกณฑ์ ซึ่งส่วนตัวจะใช้ที่ CNKI (中国知网) เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเวลาต้องการอ่านงานวิจัยตัวเต็ม สามารถเข้าอ่านได้ผ่านทางระบบมหาลัยได้ฟรี ไม่เสียเงินนั่นเองครับ
จีนมีระบบฐานข้อมูลวิชาการที่ใหญ่และเข้มข้นกว่า และผลักดันให้นักศึกษาทำงานวิจัยที่ยึดหลักฐานข้อมูลจริง
การตรวจสอบคุณภาพงาน
🇹🇭 ไทย ใช้ Turnitin เป็นระบบตรวจสอบการลอกงาน โดยทั่วไปต้องไม่เกิน 20-30% แต่มีการพิจารณาจากบริบทด้วย เช่น หากเป็นบทวรรณกรรมหรือคำนิยาม อาจยกเว้นได้
🇨🇳 จีน ใช้ระบบตรวจสอบที่พัฒนาโดยบริษัทจีน เช่น
- 大雅查重
- 维普查重
- 知网查重
ระบบของจีนมีความแม่นยำและเข้มงวดกว่าอย่างชัดเจนในเชิงเทคนิค
การนำเสนอผลงาน
🇹🇭 ไทย การสอบปากเปล่าจะจัดขึ้นต่อหน้าคณะกรรมการ 2-3 ท่าน พร้อมเอกสารประกอบการนำเสนอ ผู้สอบจะถูกถามเนื้อหาวิชาโดยรวม หรือปัญหาในการเก็บข้อมูล
🇨🇳 จีน เรียกว่า “答辩” (dábiàn) หรือการตอบคำถามต่อหน้าคณะกรรมการ โดยนักศึกษาต้องเตรียม PowerPoint อย่างมืออาชีพ และอธิบายให้เห็นถึง
- เหตุผลของการเลือกหัวข้อ
- กระบวนการวิจัย
- ความท้าทายในการวิเคราะห์
- แนวทางต่อยอดงานวิจัยในอนาคต
สรุป: การสอบในจีนมีความจริงจังสูงกว่า ต้องใช้ทักษะการพูด การวิเคราะห์ และความแม่นในเชิงทฤษฎีมากกว่า
จากมุมมองของแต้ม
ไทยเหมาะสำหรับการฝึกกระบวนการคิดวิจัยอย่างมีขั้นตอน ส่วนจีนเน้นให้นักศึกษาผลิตผลงานที่ใกล้เคียงกับการตีพิมพ์จริง
หากนักศึกษาคนใดมีโอกาสเรียนรู้ทั้งสองระบบ จะพบว่า
- ไทยให้ความเป็นมิตรในการเริ่มต้น
- จีนฝึกความเป็นมืออาชีพด้านงานเขียนเชิงวิชาการ
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในระบบใด การตั้งใจเรียนรู้และลงมือทำจริง คือกุญแจสำคัญของการทำวิจัยครับ
เดี๋ยวในบทความถัด ๆ ไป น่าจะได้มีโอกาสมาแชร์เรื่องราวในการเขียนวิจัยที่เคยทำมานะครับ หรือหากเพื่อน ๆ นักวิจัยมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สามารถมาแชร์ มาแบ่งปันกันได้นะครับ