การเขียนวิจัยปริญญาตรีของไทยกับจีน แตกต่างกันไหม?

“การเขียนวิจัยปริญญาตรีของไทยกับจีน แตกต่างกันไหม?” คำถามนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่หากได้สัมผัสด้วยตัวเอง จะรู้ว่าระบบของทั้งสองประเทศมีรายละเอียดที่ “เหมือนในภาพรวมแต่ต่างในเชิงลึก” อย่างน่าสนใจ

ในฐานะนักศึกษาที่เคยเรียนในประเทศไทย และมีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีปลายภาคในประเทศจีน ผู้เขียนขอแบ่งปันประสบการณ์ตรง และเปรียบเทียบผ่าน 6 หัวข้อหลัก ดังนี้

จุดมุ่งหมายของวิจัย

🇹🇭 ฝั่งไทย ในระดับปริญญาตรี การทำวิจัยถือเป็น “กระบวนการฝึกคิดเชิงวิชาการ” เป็นหลัก ไม่ได้ตั้งเป้าให้ต้องผลิตองค์ความรู้ใหม่ แต่เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจโครงสร้างของการวิจัย และสามารถออกแบบกระบวนการวิจัยอย่างถูกต้อง เช่น การตั้งวัตถุประสงค์ การตั้งสมมุติฐาน และการใช้เครื่องมือเก็บข้อมูล

หัวข้อวิจัยในไทยจึงมักไม่ซับซ้อน เช่น

  • ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ
  • การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
  • การศึกษาประสิทธิภาพการเรียนรู้
ฯลฯ
🇨🇳 ฝั่งจีน วิจัยระดับปริญญาตรีในจีน มีเป้าหมายสูงกว่า โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัย Top-tier เช่น 985/211 หรือสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม นักศึกษาจะถูกตั้งเป้าให้ผลงานสามารถ “ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ” ได้จริง แม้จะไม่ได้ตีพิมพ์ทุกคนก็ตาม แต่ระบบสนับสนุนให้คิดแบบมืออาชีพ

ในบางสาขา เช่น วิศวกรรม AI เทคโนโลยีชีวภาพ หรือธุรกิจดิจิทัล หัวข้อวิจัยมักมีความล้ำหน้า เช่น

  • การประยุกต์ใช้ Machine Learning กับระบบอัตโนมัติ
  • การวิเคราะห์โมเดล Big Data
  • การพัฒนาแอปพลิเคชันขนาดเล็ก
ฯลฯ

ที่ไทยมองว่าวิจัยเป็น “เครื่องมือฝึกทักษะ” แต่จีนมองว่าวิทยานิพนธ์เป็น “ผลงานที่ต้องใช้ได้จริง”

โครงสร้างของรายงาน

🇹🇭 ไทย มหาวิทยาลัยในไทยมักใช้ระบบการอ้างอิงแบบ APA (เวอร์ชันล่าสุด เช่น APA 6 หรือ 7) ซึ่งเน้นการอ้างอิงแบบชื่อผู้แต่ง + ปี เช่น (สุชาติ, 2564) หรือ (Smith, 2020) พร้อมบรรณานุกรมตอนท้าย

โครงสร้างงานวิจัยก็เรียบง่าย มีรูปแบบที่อาจารย์กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รูปเล่ม ฟอนต์ การตั้งระยะขอบ ฯลฯ นักศึกษาส่วนมากเพียงทำตามรูปแบบนี้

🇨🇳 จีน จีนใช้ระบบ GB/T 7714-2015 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับชาติในการอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารภาษาจีนหรืออังกฤษ และมีความละเอียดสูง เช่น ต้องระบุลักษณะของเอกสาร (วิทยานิพนธ์ [D], รายงาน [R], บทความวารสาร [J], หนังสือ [M]) และใส่วงเล็บเหลี่ยมกำกับ เช่น

  • [1] 王强. 中国数字经济发展趋势研究[J]. 经济研究, 2021, 34(2): 1-10.

รูปแบบจัดอ้างอิงเข้มงวดมาก หากผิดเพียงนิดเดียวในระบบจะถือว่าผิดพลาดครับ

ไทยให้ความยืดหยุ่นในการอ้างอิงมากกว่า แต่จีนมีระบบที่เข้มขึ้น ซึ่งช่วยให้ผลักดันสู่งานวิชาการที่มีมาตรฐานได้ดี

การเขียนบทที่ 1-5

โครงสร้างคล้ายกัน รายละเอียดต่างกัน

แม้ว่าไทยและจีนจะมีโครงสร้างรายงานวิจัยคล้ายกัน (บทนำ > ทบทวนวรรณกรรม > วิธีวิจัย > ผลการวิจัย > สรุป/อภิปรายผล) แต่ “ความลึก” ต่างกันชัดเจน

🇹🇭 ไทย

  • บทที่ 1: บทนำ อธิบายที่มา ความสำคัญของปัญหา
  • บทที่ 2: ทบทวนวรรณกรรม อาจสรุปทฤษฎีจากตำราเรียนทั่วไป
  • บทที่ 3: วิธีวิจัย ระบุว่าใช้แบบสอบถาม สัมภาษณ์ ฯลฯ
  • บทที่ 4: วิเคราะห์ผล บรรยายผลแบบสถิติพื้นฐาน 
  • บทที่ 5: สรุปผลและข้อเสนอแนะ

จุดเด่นคือ เน้นความเข้าใจของผู้เรียน ใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อนมาก และไม่บังคับให้ต้องใช้โมเดลทางทฤษฎีลึกๆ

🇨🇳 จีน

  • บทที่ 1: บทนำ พร้อมสรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในจีนและต่างประเทศ (研究现状)
  • บทที่ 2: วรรณกรรมและทฤษฎี ใช้โมเดลเฉพาะ เช่น 模型、算法、理论架构
  • บทที่ 3: วิธีวิจัย (研究方法) ต้องระบุขั้นตอนทดลองหรือสมมติฐานอย่างเป็นระบบ
  • บทที่ 4: ผลและการวิเคราะห์ (实验结果分析 / 数据回归) มีกราฟ ตาราง วิเคราะห์เชิงเทคนิค
  • บทที่ 5: สรุป ข้อเสนอแนะ และขอบเขตการต่อยอดงานวิจัย

ไทยเน้นความเข้าใจและกระชับ ส่วนจีนเน้นความลึกและการวิเคราะห์อย่างมืออาชีพ

การใช้แหล่งข้อมูล

🇹🇭 ไทย นักศึกษาสามารถอ้างอิงจากหนังสือวิชาการ เว็บไซต์ราชการ บทความวารสารไทย หรือแหล่งข้อมูลสากลได้ โดยมักใช้แหล่งอ้างอิงประมาณ 10–20 รายการ

🇨🇳 จีน ต้องใช้แหล่งข้อมูลวิชาการจาก ฐานข้อมูลระดับประเทศ เช่น

  • CNKI (中国知网)
  • Wanfang Data
  • CQVIP

แหล่งข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตทั่วไปจะไม่ถูกนับว่า “มีความน่าเชื่อถือ” และผลงานบางฉบับต้องอ้างอิงมากกว่า 40–50 รายการจึงจะผ่านเกณฑ์ ซึ่งส่วนตัวจะใช้ที่ CNKI (中国知网) เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเวลาต้องการอ่านงานวิจัยตัวเต็ม สามารถเข้าอ่านได้ผ่านทางระบบมหาลัยได้ฟรี ไม่เสียเงินนั่นเองครับ

จีนมีระบบฐานข้อมูลวิชาการที่ใหญ่และเข้มข้นกว่า และผลักดันให้นักศึกษาทำงานวิจัยที่ยึดหลักฐานข้อมูลจริง

การตรวจสอบคุณภาพงาน

🇹🇭 ไทย ใช้ Turnitin เป็นระบบตรวจสอบการลอกงาน โดยทั่วไปต้องไม่เกิน 20-30% แต่มีการพิจารณาจากบริบทด้วย เช่น หากเป็นบทวรรณกรรมหรือคำนิยาม อาจยกเว้นได้

🇨🇳 จีน ใช้ระบบตรวจสอบที่พัฒนาโดยบริษัทจีน เช่น

  • 大雅查重
  • 维普查重
  • 知网查重
ระบบเหล่านี้สามารถแยกแยะได้ว่า ข้อความไหน “คัดลอก” จากงานวิจัยเก่า และแม้แต่ข้อความภาษาจีนที่เปลี่ยนคำพูดแต่ความหมายเหมือนก็จะถูกจัดว่าเป็น “重合” หรือความซ้ำซ้อน และมักกำหนดให้ไม่เกิน 10–15% เท่านั้น

ระบบของจีนมีความแม่นยำและเข้มงวดกว่าอย่างชัดเจนในเชิงเทคนิค

การนำเสนอผลงาน

🇹🇭 ไทย การสอบปากเปล่าจะจัดขึ้นต่อหน้าคณะกรรมการ 2-3 ท่าน พร้อมเอกสารประกอบการนำเสนอ ผู้สอบจะถูกถามเนื้อหาวิชาโดยรวม หรือปัญหาในการเก็บข้อมูล

🇨🇳 จีน เรียกว่า “答辩” (dábiàn) หรือการตอบคำถามต่อหน้าคณะกรรมการ โดยนักศึกษาต้องเตรียม PowerPoint อย่างมืออาชีพ และอธิบายให้เห็นถึง

  • เหตุผลของการเลือกหัวข้อ
  • กระบวนการวิจัย
  • ความท้าทายในการวิเคราะห์
  • แนวทางต่อยอดงานวิจัยในอนาคต
กรรมการอาจถามถึง “ข้อโต้แย้งเชิงทฤษฎี” หรือ “ความแตกต่างระหว่างแนวคิดของจีนกับต่างประเทศ”
สรุป: การสอบในจีนมีความจริงจังสูงกว่า ต้องใช้ทักษะการพูด การวิเคราะห์ และความแม่นในเชิงทฤษฎีมากกว่า

จากมุมมองของแต้ม

ไทยเหมาะสำหรับการฝึกกระบวนการคิดวิจัยอย่างมีขั้นตอน ส่วนจีนเน้นให้นักศึกษาผลิตผลงานที่ใกล้เคียงกับการตีพิมพ์จริง

หากนักศึกษาคนใดมีโอกาสเรียนรู้ทั้งสองระบบ จะพบว่า

  • ไทยให้ความเป็นมิตรในการเริ่มต้น
  • จีนฝึกความเป็นมืออาชีพด้านงานเขียนเชิงวิชาการ

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในระบบใด การตั้งใจเรียนรู้และลงมือทำจริง คือกุญแจสำคัญของการทำวิจัยครับ

เดี๋ยวในบทความถัด ๆ ไป น่าจะได้มีโอกาสมาแชร์เรื่องราวในการเขียนวิจัยที่เคยทำมานะครับ หรือหากเพื่อน ๆ นักวิจัยมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สามารถมาแชร์ มาแบ่งปันกันได้นะครับ